วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dennis  Ritchie






       -นักวิชาการคอมพิวเตอร์สหรัฐอเมริกา
       -บิดาแห่งภาษา C
       -ผู้คิดค้นและร่วมสร้างระบบปฎิบัติการUnix

ผลงานที่โดดเด่น
       -ภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์(ภาษาC)


ภาษา C คืออะไร?

       ภาษาซีนั้นเป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกเปิดตัวพร้อมกับไมโครโปรเซสเซอร์ Intel 4004 ของอินเทลช่วงปี 1971 ด้วยฐานะส่วนหนึ่งของระบบการประมวลผลยุคใหม่ ระยะแรก ภาษาซียังไม่เป็นที่แพร่หลายจนกระทั่งกลางยุค 70 ภาษาซีสามารถพิสูจน์ตัวเองและครองใจนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เลือกใช้ภาษาซีเพื่อเขียนโปรแกรมซึ่งสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ประหยัดพลังงาน และไม่ซับซ้อนยุ่งยาก ถึงปัจจุบันยังมีการเรียนการสอนภาษาCในทุกๆโรงเรียน ม.ปลาย และในมหาวิยาลัย ซึ่งมี IDE มากมาย เช่น dev-c, codeblock เป็นต้น








แต่ปัจจุบันนี้ ภาษาคอมพิวเตอร์ได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนเกิดภาษาใหม่มากมายที่มีประสิธิภาพมากกว่า เช่น java javascript หากจะเปรียบเทียบแล้วภาษาC นั้นก็เหมือนภาษาละตินสมัยเก่า ส่วนภาษาjavaเปรียบดังกับภาษาอังกฤษในปัจจุบัน

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

BILL GATES

       วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม หรือ ชื่อที่เรารู้กันดีในชื่อ บิล เกตส์ บิดาแห่งวงการเทคโนโลยีสมัยใหม่ นักธุรกิจชาวอเมริกัน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ (ถ้านึกไม่ออก..มันก็คือระบบปฎิบัติการ Window นั่นเอง) เขาเกิด28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 ในเมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิง สหรัฐอเมริกา พ่อเขาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท และแม่ชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank

ขณะเขาศึกษา
       บิลล์ เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม บิลล์ เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ทั้งคู่ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมาบิลล์ เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่ง
ในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์

ผลงาน
        -ก่อตั้งบริษัทMicrosoft ร่วมกับเพื่อนของเขาอเลน ในปี 2518


(บิล เกรต และ อเลนผู้ร่วมก่อตั้งmicrosoft)

        -MS DOS Gates และ Allen ได้ว่าจ้าง Steve Ballmer อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากฮาร์วาร์ดของ Gates ให้มาช่วยพวกเขาดำเนินกิจการของบริษัท ในเดือนต่อมา IBM ได้เข้ามาติดต่อ Microsoft เกี่ยวกับโปรเจ็กต์ที่ชื่อว่า"Chess" ด้วยเหตุนี้ Microsoft จึงได้หันมา ให้ความสำคัญกับระบบปฏิบัติการใหม่ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการหรือสั่งงานฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์และยังทำหน้าที่เชื่อมช่องว่าง ระหว่างฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์กับโปรแกรม เช่น โปรแกรมประมวลผลคำ และยังเป็นพื้นฐานสำหรับการสั่งงานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย พวกเขาตั้งชื่อระบบปฏิบัติการใหม่นี้ว่า "MS‑DOS"



       -ในปี2525 window 1.0 รุ่นแรกของโลกก็ถูกปล่อยออกมา จะเห็นว่ามีรูปร่างหน้าตาที่แปลกและสามารถทำงานได้ไม่กี่อย่าง รวมถึงหน้าจออินเทอร์เฟสที่ไม่น่าสนใจ ทีมพัฒนาจึงได้แก้ไขและเพิ่มแอพพิเคชั่นขึ้นด้วย

       วิวัฒนาการ window


(window 1.0)

(window 2.0)

(window 3.0)

(window 95)


(window 98)

(window XP)

(window 7)


(window8)


รุ่นล่าสุด
(window10)



       สุดท้ายนี้เรามีข้อคิดจากบิล เกตมาฝากกันคับ

      The world doesn't care about your self-esteem. The world will expect you to accomplish something before you feel good about yourself.


      โลกไม่ได้สนใจหรอกว่าคุณมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่โลกนี้คาดหวัง “ความสำเร็จ” ที่เกิดจากความมั่นใจของคุณต่างหาก

       รูปภาพประกอบและอ้างอิง
     ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ และรูปภาพสวยๆจาก
              http://windows.microsoft.com/th-th/windows/history#T1=era0

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อับบราฮัม ลินคอล์น มหาบุรุษผู้พลิกแผ่นดิน



   " ข้าพเจ้าเป็นคนเดินช้า แต่ไม่เคยเดินถอยหลัง "

                                                             (อับราฮัม ลินคอล์น)

                                              

    ไครหลายๆคนอาจไม่รู้ว่าลินคอล์นเป็นผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาในโรงเรียน เขามีโอกาสเรียนในโรงเรียนจริงๆ แค่ 13 เดืเพราะฐานะที่ยากจน แต่ด้วยความมานะพยายามศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ความเป็นนักอ่านที่หาตัวจับยาก บวกกับความทะเยอทะยานในตัวเขา  ทำให้ผู้ชายคนนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแห่งอเมริกา มหาบุรุษผู้ประกาศเลิกทาส นำเสรีภาพ อิสรภาพ ภราดรภาพ สู่ประชาชน ผู้รวมดินแดนฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน บุคคลผู้เป็นตำนานตลอดกาล

                                            

(ภาพถ่ายของ อับบราฮัม ลินคอล์น ตอนเด็ก)
     ใครจะรู้ว่าเด็กชายลูกชาวนา ยากจน ที่รักการอ่าน มีความเพียรพยายาม มีปณิธานปรารถนาที่จะเป็นใหญ่ อย่างเด็กชายลินคอล์น จะได้ก้าวขึ้นเป็นประมุขแห่งรัฐ เป็นรัฐบุรุษผู้พลิกแผ่นดิน พลิกหน้าประวัติศาสตร์ ของประเทศที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลก
อับราฮัม ลินคอล์น  ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา จนจบชีวิตลงวันที่  4 มีนาคม ค.ศ. 1861 หลังจากการถูก จอห์น วิลค์ส บูธ ยิงจนเสียชีวิต    

ประวัติอับราฮัม ลินคอล์น
       
      อับราฮัม ลินคอล์น เกิดในรัฐเคนตักกี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1809 ชีวิตวัยเด็กลำบากมาก เพราะพ่อแม่ยากจน สิ่งที่ผลักดันนิสัยติดตัวของเขาคือรักการอ่าน อ่านหนังสือได้ทุกที่ เขายอมเดินเป็นระยะทางไกลๆ เพื่อไปขอยืมหนังสืออ่านเพียงแค่เล่มเดียว เขาเดินทางเป็นกิโลๆเพื่อจะได้นำหนังสือกลับบ้านมาอ่าน     พออายุ 9 ขวบ แม่เขาก็เสียชีวิต พ่อแต่งงานใหม่โชคดีที่ลินคอล์นเข้ากับแม่ใหม่ได้ดี  อายุ 19 ลินคอล์นล่องเรือแจวจากแม่น้ำโอไฮโอไปที่รัฐนิวออร์ลีน ที่นั่นเขาได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกทาสที่ถูกขายทอดตลาดเป็นครั้งแรก ทำให้หนุ่มน้อยลินคอล์นเกิดความคิดที่จะปลดปล่อยทาส เขาจึงเริ่มสนใจการเป็นทนายความหลัง   จากนันเป็นต้นมา

  



                 ลินคอล์นชอบพบปะช่วยเหลือผู้คน เริ่มมีชื่อเสียงจากความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์  อับราฮัม ลินคอล์นเริ่มหันมาสนใจเรื่องการเมืองเขาลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาหลายครั้ง แต่ก็กินแห้วมาตลอด จนหลายๆคนเรียกเขาว่าอับราฮัม ลินคอล์น ผู้พ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำอีก    เขาใช้ความพยายามอยู่หลายปี โดยเขาไม่ล้มเลิกความพยายามของเขา จนในปี 1860 ลินคอล์นตัดสินใจลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และได้รับเลือกในวันที่ 4 มีนาคม 1861 เส้นทางสายผู้นำไม่แจ่มใสนักเนื่องจากนโยบายปลดปล่อยทาสของลินคอล์นไม่ได้ รับการสนับสนุนจากบรรดารัฐต่างๆ ทางตอนใต้ของอเมริกา ซึ่งภายหลังระอุกลายเป็นสงครามกลางเมือง ในเดือนเมษายน ปี 1861 มีการสู้รบกันอย่างดุเดือดระหว่างทหารจากสังกัดส่วนกลางและทหารในรัฐทางใต้     รัฐต่างๆ ทางตอนใต้ของอเมริกา เป็นเกษตรกรพวกเขาเลยต้องใช้แรงงานมาก แล้วแรงงานที่ถูกแสนถูกในตอนนั้นก็เป็นคนดำที่จับมาเป็นทาสจากแอฟริกาและหลายๆประเทศ พวกเขาจึงบอกว่า เราต้องการแรงงานทาส  ทาสเป็นสิ่งที่จำเป็น และก็เป็นแค่สมบัติชิ้นนึงของนายจ้างเท่านั้น้อง ฝ่ายเหนือก็บอกว่า การค้าทาสนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควร จึงจะไม่ให้มีทาส  เพราะเป็นการริดรอนสิทธิ เสรีภาพของมนุษย์
 
                                



          ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง แล้วไม่ยอมกันสงครามก็เกิดขึ้นจนได้ รัฐทั้ง 11 รัฐทางใต้ก็ประกาศแยกตัวเป็นอิสระทันที ประกาศเป็นศัตรูกับรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนรัฐทางใต้ก็รวมตัวกันอย่างหลวมๆ ประกาศจัดตั้งประเทศ สมาพันธรัฐอเมริกา
แล้วก็เริ่มต่อสู้กัน สงครามนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 600,000 คน ทำให้เกิดความเสียหายและความยุ่งยากหลายประการ แต่ก็มีผลดีที่ต่อมามีการเลิกทาส และรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไว้ได้ ในที่สุดฝ่ายของลินคอล์น (ฝ่ายเหนือ) ก็ได้รับชัยชนะและมีประกาศปลดปล่อยทาสในปี1863เป็นอันจบเรื่องจบราว





                    แต่เดี๋ยวครับถึงสงครามจะจบแต่คนไม่จบ 14 เมษายน 1865 ลินคอล์นถูกลอบสังหารขณะชมละครที่โรงละครฟอร์ด โดย จอห์น วิลค์ส บูธ และเสียชีวิตในเช้าวันถัดมา ศพของลินคอล์นฝังอยู่ที่สปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐ เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งของโลก จนชื่อว่าเป็นบิดาแห่งระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ เพราะมีบทบาทในการรักษาไว้ซึ่งสหภาพของอเมริกา และเป็นผู้ประกาศในสุนทรพจน์ที่ว่า "รัฐบาลประชาธิปไตย คือรัฐบาลของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชน"




วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

นักสู้ผู้พิชิตความล้มเหลวเกือบหมื่นครั้ง

      " การเป็นอัจฉริยะ
                      เกิดจากแรงบันดาลใจ 1% 
                                   อีก 99% มาจากหยาดเหงื่อที่ทุ่มเท "


                                                                                    ( Thomas Edison )



       


       
โทมัส เอดิสัน ผู้ล้มเหลวเกือบหมื่นครั้ง แต่ไม่เคยยอมแพ้ความล้มเหลวหลายๆ อย่างในชีวิตเป็นเพราะคนเราไม่ตระหนักว่าพวกเขาอยู่ใกล้ความสำเร็จแค่ไหนตอนที่เขายอมแพ้เป็นคำยืนยันของนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกคือ โทมัส เอดิสัน ชายผู้นี้หูหนวกตั้งแต่เด็ก เขาไม่สามารถได้ยินอะไรชัดทำให้เขาเรียนที่โรงเรียนได้ไม่ดีและที่โรงเรียนให้สมญานามเขาว่าเป็น ไข่เน่าของชั้นเรียนแต่เอดิสันมีแม่ที่เข้าใจเขา คอยดูแลและอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้เขาเสมอ เอดิสันต้องเข้าๆ ออกๆ โรงเรียนหลายแห่งแม่ของเขา ได้เป็นผู้สอนหนังสือให้เขาและยอมให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเองกำลังใจจากแม่ ทำให้เอดิสันอ่านหนังสือมากขึ้นเขาสนุกสนานกับการทดลองต่างๆ ที่เขาอ่านจากหนังสือ ความอยากรู้ อยากเห็นทำให้เขาได้ทดลองวิทยาศาสตร์ต่างๆ มากมาย แม้การทดลองหลายครั้งจะมีความผิดพลาดและไม่ได้ผลแต่แม่คือผู้ที่พูดให้กำลังใจแก่เอดิสันอยู่เสมอปลูกฝังให้เขามีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน เอดิสันมองเห็นความผิดพลาดเป็นบทเรียนมากกว่าจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาท้อถอยดังเช่นในการทดลองเพื่อคิดค้นหลอดไฟ ซึ่งเป็นผลงานประดิษฐ์ชิ้นสำคัญของเขาเมื่อผู้ช่วยของเอดิสันกล่าวกับเขาว่า 

เราทำการทดลองมา 700 ครั้งแล้ว 

แต่เรายังไม่มีคำตอบ เราล้มเหลวเสียแล้ว”

แต่เอดิสันกลับตอบว่า

เปล่าหรอก เรายังไม่ล้มเหลว  เรารู้มากกว่าใครๆ ในโลกในเรื่องนี้
และเรายังรู้อีกว่ามี 700 วิธีที่ไม่ควรทำ
อย่าเรียกว่า ความผิดพลาด  แต่ให้เรียกว่า เป็นการเรียนรู้ ”



       นอกจากโทมัส เอดิสัน จะฝากผลงานทางวิทยาศาสตร์ไว้แก่โลกอย่างมากมายด้วยผลงานประดิษฐ์ซึ่งจดสิทธิบัตรไว้มากกว่า 1,000 ชิ้นแล้ว เอดิสัน นั้นกล่าวได้ว่าเป็นนักประดิษฐ์ที่มีผลงานมากที่สุดในยุคนั้น เขามีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อของเขาเป็นจำนวนถึง 1,200 ชิ้น สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง แต่เป็นการพัฒนาจากสิ่งประดิษฐ์ดั้งเดิมที่คิดค้นขึ้นโดยลูกจ้างของเขา เพราะเหตุนี้ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ ในเรื่องการอ้างผลงานเป็นของตัวแต่ผู้เดียว โดยไม่แบ่งปันให้กับผู้คิดค้นดั้งเดิม นอกจากสิทธิบัตรของเขาซึ่งมีอยู่ทั่วโลกแล้ว เอดิสันก็ยังได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ ภายใต้ชื่อ Edison Trust
       ในความเป็นจริงแล้ว เอดิสันไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าตามที่คนทั่วไปเข้าใจแต่อย่างใด หลักการของหลอดไฟฟ้าถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้โดยนักประดิษฐ์หลายท่าน เช่น Juseph Swan หรือ  Heinrich Goebel อย่างไรก็ตามเอดิสันได้คำนึงถึงการนำหลอดไฟฟ้าไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง โดยเอดิสันได้ทำให้อายุการใช้งานของหลอดไฟฟ้ายาวนานพอที่จะนำไปใช้ได้อย่างสะดวกสบายในบ้านเรือนหรือร้านค้า นอกจากนั้นเอดิสันยังได้สร้างระบบผลิตและแจกจ่ายไฟฟ้าอีกด้วย
นิตยสารไลฟ์(Life) ได้ยกย่องให้เอดิสันเป็นหนึ่งใน "100 คนที่สำคัญที่สุดในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา"





วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สองพี่น้อง ผู้ทะยานฟ้า

" อย่ารอจนกว่าปัจจัยต่างๆจะพร้อมสำหรับการเริ่มต้น
           
เพราะการเริ่มต้นต่างหากที่จะทำให้ปัจจัยทุกอย่างพร้อมเอง"
       
                                                                                                                            
    ในวินาทีแรก ที่เรามีความคิดมากพอจะถามตนเองว่า "ทำไม" และ "อย่างไร" มนุษย์ก็เริ่มแสวงหาหนทางใหม่  ที่จะเปล่งศักยภาพตนเองให้สูงสุด ในบรรดาความปรารถนา อันมากมายหลากหลายของมนุษย์ ความปรารถนาสูงสุดประการหนึ่งก็คือ บินให้ได้อย่างนก บินไปให้สูง จนถึงสรวงสวรรค์ และไปให้ไกลยังดินแดนลึกลับ ที่รอคอยการค้นพบและถ้าหากมัวแต่ฝันไม่ได้ลงมือทำหรือมัวจะรอปัจจัยต่างๆฝันที่เราเคยวาดไว้อย่างสวยหรูจะไม่มีวันเกิดขึ้นหากเราไม่มีคำว่า  " เริ่มต้น "
        "  พี่น้องตระกูลไรท์ทำความฝันนั้นให้เป็นจริง ติดปีกให้มนุษยชาติโบยบินไปในอากาศ "



  ตอนเด็กไครหลายๆคนอาจมีคำถามว่า " มนุษย์เราบินได้หรือไม่  และ มนุษย์เราจะบินได้อย่างไร " 

       ซึ่งในอดีต การที่ใครสักคนจะเดินบนอากาศหรือบินได้นั้น เป็นเพียงตำนานที่กล่าวถึงผู้มีอิทธิฤทธิ์และพลังพิเศษเท่านั้น ความคิดเหล่านี้พบได้ตามนิทาน ภาพวาดสมัยโบราณ ภาพสลักโบราณสถานหรืออาจเป็นเพียงเรื่องเล่าที่บอกต่อๆกันมาเท่านั้นตัวอย่างเช่น





       Icarus & Daedalus ของกรีกที่ได้สร้างปีกจากขนนกติดด้วยขี้ผึ้ง บินหลบหนีจากเงื้อมมือของกษัตริย์ไมนอสแห่งครีตจากเกาะที่คุมขัง
        จากตัวอย่างที่ยกมานั้นนั่นเป็นเพียงแค่ตำนานหรือเรื่องเล่าที่กล่าวขานถึง การบินได้ของมนุษย์ ซึ่งการบินอยู่บนท้องฟ้าถือว่าเป็นความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์และเป็นเวลาหลายศตวรรษที่มนุษย์หาวิธีที่จะบินให้ได้ 




ต่อมาในปีค.ศ.1483ศิลปินเอกของโลกและนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีซึ่งหลายคนรู้จักชื่อของ Leonardo da Vinci

ได้ริเริ่มทำการบินโดยศึกษาการทำงานของปีกนกเขาประดิษฐ์ปีกนกขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อติดเข้ากับแขนและร่อนลงมาจากที่สูง แต่ผลการทดลองไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ทำการบินต้องตกลงมาไม่เป็นท่าจนได้รับบาดเจ็บ




แต่นั้นก็เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ.1903 สองพี่น้องตระกูลไรท์ได้สร้างเครื่องบินลำแรกของโลกได้เป็น
ผลสำเร็จ ตั้งแต่นั้นมา กิจการบินก็มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น จนกระทั่งทุกวันนี้   
                                 





                " ซึ่ง 2พี่น้องตระกูลไรท์นี่เองที่เป็นคนที่ติดปีกให้แก่มวลมนุษย์ เพราะเขาทั้งคู่คือผู้ให้กำเนิดเครื่องบิน"
สองพี่น้องตระกูลไรท์นี้ มีชื่อว่า วิลเบอร์ ไรต์ และ ออวิลล์ ไรต์  บิดาของเขาเป็นนักบวชชื่อว่า มิลตัน ไรท์  ส่วนมารดาชื่อว่า ซูซาน ไรท์ ทั้งสองได้รับการศึกษาเพียงแค่ชั้นมัธยมเท่านั้น หลังจากออกจากโรงเรียนแล้ว วิลเบอร์ได้เปิดโรงพิมพ์และร้านซ่อมจักรยานขึ้นที่ เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ และเมื่อออร์วิลเรียนจบก็ได้มาทำงานในร้านซ่อมจักรยานของวิลเบอร์ ทั้งสองมีความใฝ่ฝันที่จะบินอยู่ตลอดเวลา ต่อมามีข่าวการทดลองเครื่องร่อนในเยอรมันของลิเลียนธาล แต่การบินครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ และทำให้ลิเลียนธาล ต้องเสียชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังมีความสนใจเรื่องการบินต่อไป
     ต่อมาทั้งสองได้เขียนจดหมายไปยังสถาบันสมิธโซเนียน(The Smithsonian Institute) ในปี ค.ศ. 1900 พวกเขาตัดสินใจสร้างเครื่องบินลำแรกขึ้น โดยเครื่องบินนั้นมีลักษณะคล้ายกับเครื่องร่อนทำด้วยโครงเหล็ก ส่วนปีกทำด้วยผ้า และใช้เครื่องยนต์ขนาด 12 แรงม้า และก็ได้นำเครื่องบินทดลองบินในเดือนพฤษภาคม ในครั้งนั้นแม้เครื่องบินจะสามารถบินได้ แต่ก็เป็นเวลาเพียง 1-2 วินาที และยังไม่สามารถควบคุมทิศทางของการบินได้
 เมื่อยังได้ผลไม่น่าพอใจ ในปี 1901 ทั้งคู่ได้กลับไปที่เมืองเดย์ตัน เพื่อสร้างเครื่องบินลำที่ โดยปรับปรุงข้อบกพร่องต่างๆ ทำให้เครื่องบินลำที่ 2 มีขนาดที่ใหญ่กว่า และรูปร่างที่ต่างจากเดิม แต่อย่างไรก็ตามข้อบกพร่องก็ยังไม่ถูกขจัดออกไปได้หมดสิ้น ยังมีอุปสรรคเรื่องน้ำหนักและความสามารถในการขึ้นบินให้ทั้งสองต้องบากบั่นกันต่อไป หลังจากนั้นทั้งสองสร้างเครื่องบินเพื่อทดสอบขึ้นอีกหลายลำ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนครั้งหนึ่ง วิลเบอร์ ไรท์ เคยท้อแท้ถึงกับกล่าวว่า"ต่อให้สักพันปีมนุษย์ก็บินไม่ได้หรอก"
ดีที่นี่เป็นเพียงคำตัดพ้อ ทั้งคู่ไม่ได้ย่อท้อต่อสิ่งเหล่านั้นจริงๆ พวกเขายังคง
ทดลองต่อไป จนกระทั่งเริ่มพบจุดผิดพลาดที่เกิดขึ้น
   
      ในปี ค.ศ.
1902 ทั้งคู่คาดว่า การใส่เครื่องยนต์ให้กับเครื่องร่อนนั้น จะทำให้เครื่องบินสามารถบินได้ไกลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการสร้างอุโมงค์ลมขึ้นเพื่อนความกดอากาศขึ้นตามคำแนะนำของออคตาฟ ชานุท ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับความกดอากาศ ปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีน้ำหนักเบาขึ้นและเพิ่มหางเสือ เข้าทางด้านหน้า และด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อควบคุมทิศทางการบิน ปีกของเครื่องบินเป็นปีก 2 ชั้นมีขนาดยาวแต่แคบกว่ารุ่นก่อน สามารถขยับขึ้นลงได้ต่างจากเดิมที่เป็นแบบตายตัว แล้วทำการทดลองบินที่ที่คิลล์ เดฟวิลล์ ฮิลล์  อยู่นานถึง 39 วัน และทดลองบินกว่า 1,000 ครั้ง และครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่ประสบความสำเร็จมาก ทั้งการควบคุมทิศทางและระยะเวลาที่เครื่องลอยตัวอยู่บนอากาศก็เป็นที่น่าพอใจ และนี่ก็เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ทำให้พวกเขเดินหน้าเข้าสู่การสร้างเครื่องบินที่บินด้วยเครื่องยนต์


       ในปี ค.ศ.1903 ทั้งสองได้ใส่ล้อให้กับเครื่องบิน เพื่อที่จะสามารถขึ้นบินได้โดยไม่ต้องเสียงดวงเอากับดินฟ้าอากาศ รวมทั้งมีการสร้างทางวิ่งขึ้นของเครื่องบิน (Run Way) ที่มีความยาว 600 เมตร เพื่อใช้ในการทดลองบิน และได้พัฒนาล้อให้เชื่อมต่อด้วยโซ่เข้ากับเฟืองของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถวิ่งขึ้นได้เองไม่ต้องอาศัยแรงคน





  
 การทดสอบการบินด้วย เครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ครั้งสำคัญก็เริ่มขึ้น โดยในการทดสอบครั้งแรกวิลเบอร์ได้เป็นคนขับเครื่องบินแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เครื่องตกลงมากระแทกพื้นได้รับความเสียหาย จนต้องนำกลับไปซ่อม และต้องรออีก 3 วันต่อมาได้ทดสอบJ.T. Daniels,W.S. Dough, A.D. Etheridge W.C. Brinkly Johny Moor Wilbur OrvilleWright ทำทดสอบเครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ของเขา ไร้วี่เเววของนักข่าวหรือประชาชนสนใจ เพราะไม่มีใครที่จะยอมเชื่อว่ามันจะบินได้จริงๆ
ณ เวลา 10.35 น. เครื่องบินลำแรกชื่อ ฟลายเออร์ (Flyer) Kitty Hawk) ก็พร้อมที่จะออกบิน คราวนี้เป็นคิวของ ออร์วิลล์ขึ้นไปบังคับเครื่อง ครั้งนี้เครื่องบินทรงตัวอยู่กลางอากาศได้เป็นระยะเวลาถึง 12 วินาที และบินไกลจากจุดนำเครื่องขึ้น 120 ฟุต ในวันนั้นทั้งคู่ได้ทำการทดลองบินอีก 3 ครั้วโดยพลัดกันขึ้นบิน และครั้งที่บินได้นานที่สุดคือครั้งที่วิลเบอร์ทำการบิน โดยทำเวลาได้ถึง
  
59 วินาที และบินได้ไกลถึงได้ไกล 852 ฟุต

และนี่คือจุดเริ่มต้นของการบินแบบใช้เครื่องยนต์ของสองพี่น้องนี้ นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญครั้งหนึ่ง ที่สามารถพลิกโฉมและสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญแห่งวงการการบิน



การทดลองครั้งต่อมาในปี ค.ศ.1905 พวกเขาก็ทำได้สำเร็จอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้า "ฟายเออร์ ทรี" สามารถบิน
ขึ้นสู่ท้องฟ้าได้อย่างราบรื่นและการควบคุมเครื่องก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ด้วยระยะการบินที่ไกลถึง 25 ไมล์
 และเวลาที่นานถึง 38 นาที

ในปี ค.ศ.1908 เขาขึ้นบินอีกครั้งต่อหน้าสาธารณชน พร้อมกับผู้โดยสารหนึ่งคน กับเครื่องบินที่มี
ความยาว 28 ฟุต ความยาวปีก 40 ฟุต
 
ใช้เครื่องยนต์ 20 แรงม้า แน่นอนว่าเครื่องบินของเขามีประสิทธิภาพมากขึ้นสามารถบินได้เร็ว
 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอีกหนึ่งความสำเร็จในปีเดียวกันนี้คือ วิลเบอร์สามารถพาเครื่องบินข้ามทวีป
ไปยังประเทศฝรั่งเศสได้สำเร็จ

และในปีค.ศ.1909 ได้มีการสาธิตการบินทั้งในยุโรปและอเมริกาใน  ในปีนี้ออร์วิลสามารถบินข้ามช่องแคบ
อังกฤษได้สำเร็จและรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ติดต่อให้สองพี่น้องเป็นผู้จัดหาเครื่องบินให้รัฐบาล
และเหตุการณ์นี้จึงทำให้ทั้งคู่ได้ ก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องบิน พี่น้องตระกูลไรท์

             
                  

วิลเบอร์ ไรท์ เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ.1912 ด้วยโรคไทฟอยด์ ขณะมีอายุได้ 45 ปี
ส่วนออร์วิลเสียชีวิตในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1948
 โดยทั้งคู่ไม่มีผู้สืบสกุลเลย เพราะคนทั้งสองเป็นโสด